ทฤษฎีการเรียนรู้แบบพหุปัญญา
ทิศนา แขมณี กล่าวว่า ทฤษฎีพหุปัญญา ผู้บุกเบิกทฤษฎีนี้คือ การ์ดเนอร์ แนวคิดของเขาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดเกี่ยวกับ “เชาว์ปัญญา” การ์ดเนอร์ (Gardner,
1983) ให้นิยามคำว่า “เชาวน์ปัญญา”
(Intelligence) ไว้ว่า
หมายถึงความสามารถในการแก้ปัญหาในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ หรือการสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ การ์ดเนอร์มีความเชื่อพื้นฐานที่สำคัญ 2 ประการ คือ
1. เชาวน์ปัญญาของบุคคลมิได้มีเพียงความสามารถทางภาษาและทางคณิตศาสตร์เท่านั้น
แต่มีอยู่อย่างหลากหลายถึง 8 ประเภทด้วยกัน
2. เชาวน์ปัญญาของแต่ละบุคคลจะไม่อยู่คงที่อยู่ที่ระดับที่ตนมีตอนเกิด
สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากได้รับการส่งเสริมที่เหมาะสม
เชาว์ปัญญา 8 ด้าน ตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ มีดังนี้
1. เชาวน์ปัญญาด้านภาษา สติปัญญาด้านนี้แสดงออกทางความสามารถในการอ่าน
การเขียน การพูดอภิปราย การสื่อสารกับผู้อื่น
2. เชาว์ปัญญาด้านคณิตศาสตร์หรือการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ แสดงออกในด้าน คิดวิเคราะห์ แยกแยะสิ่งต่าง ๆ ให้เห็นชัดเจน การคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล
ความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์
3. สติปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ เชาวน์ปัญญาด้านนี้ถูกควบคุมโดยสมองซีกขวา
และแสดงออกทางความสามารถด้านศิลปะ
มักจะเป็นผู้มองเห็นวิธีแก้ปัญหาในมโนภาพ
4. เชาวน์ปัญญาด้านดนตรี บุคคลที่มีสติปัญญาทางด้านนี้
จะแสดงออกทางความสามารถในด้านจังหวะ
5. เชาวน์ปัญญาด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อ สติปัญญาทางด้านนี้สังเกตได้จากความสามารถในการเคลื่อนไหวร่างกาย
6. เชาวน์ปัญญาด้านการสัมพันธ์กับผู้อื่น ความสามารถที่แสดงออกทางด้านนี้
เห็นได้จากการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
7. เชาว์ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง มักเป็นคนที่มั่นคงในความคิดความเชื่อต่าง
ๆ ชอบที่จะคิดคนเดียวสติปัญญาทางด้านนี้ มักเกิดร่วมกับสติปัญญาด้านอื่น
มีลักษณะเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างเชาว์ปัญญา อย่างน้อย 2 ด้านขึ้นไป
8. เชาวน์ปัญญาด้านความเข้าใจธรรมชาติ
เชาวน์ปัญญาด้านนี้เป็นความสามารถในการสังเกตสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
การจำแนกแยกแยะ จัดหมวดหมู่ สิ่งต่าง ๆ รอบตัว
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการเรียนการสอน
แนวทางการนำทฤษฎีพหุปัญญามาใช้ในการเรียนการสอนมีหลากหลายดังนี้
1. ในการจัดการเรียนการสอนควรมีกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายที่สามารถส่งเสริมเชาวน์ปัญญาหลาย
ๆ ด้าน
2. จะต้องจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับขั้นพัฒนาการในแต่ละด้านของผู้เรียน
3. ผสมผสานของความสามารถด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ไม่เท่ากัน
ทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ (Uniqueness) หรือลักษณะเฉพาะของแต่ละคน
4. วิธีการประเมินผลการเรียนการสอนที่ดี
ควรมีการประเมินหลาย ๆ ด้าน
และในแต่ละด้านควรเป็นการประเมินในสภาพการณ์ของปัญหาที่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยอุปกรณ์ที่สัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาด้านนั้น
ๆ
http://www.krujongrak.com/mi/mi_selftest1.htm กล่าวว่า ดร. โฮเวิร์ดการ์ดเนอร์
ผู้ก่อตั้งทฤษฎีพหุปัญญาให้คำจำกัดความของคำว่า “ปัญญา” คือความสามารถที่จะค้นหาและแก้ปัญหาและสร้างผลผลิตที่มีคุณค่าเป็นที่ยอมรับในสังคม”
ความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ตามทฤษฎีพหุปัญญา แบ่งออกเป็น 8 ด้าน
1. ปัญญาด้านภาษา (Linguistic
Intelligence) ลักษณะ มีนิสัยรักการอ่าน
ติดหนังสือ ชอบเขียน ชอบพูด สามารถเล่าเรื่องต่าง ๆ ได้ดี ชอบเรียนวิชาภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ
ประวัติศาสตร์ มากกว่าคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ยุทธศาสตร์ในการสอนคือ ให้อ่าน ให้เขียน
ให้พูด และให้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่นักเรียนสนใจ
อภิปรายแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้อื่น
2. ปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical
– Mathmatical Intelligence) ชอบทดลองแก้ปัญหา
สนุกที่ได้ทำงานกับตัวเลข หรือเกมคิดเลข การคิดเลขในใจ
ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
ยุทธศาสตร์ในการสอนคือให้ฝึกคิดแบบมีวิจารณญาณ วิพากษ์ วิจารณ์
ฝึกกระบวนการสร้างความคิดรวบยอด การชั่ง ตวง วัด การคิดในใจ การคิดเลขเร็ว
3. ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Visual
– Spatial Intelligence)ชอบวาดเขียน มีความสามารถทางศิลป ชอบเรียนวิชาศิลปศึกษา
เรขาคณิต พีชคณิต ยุทธศาสตร์ในการสอนคือการให้ดู
ให้วาด ให้ระบายสี ให้คิดจินตนาการ
4. ปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily
– Kinesthetic Intelligence)
ชอบการเคลื่อนไหว ไม่อยู่นิ่ง ชอบสัมผัสผู้อื่นเมื่อพูดคุยด้วยเป็นนักกีฬา
กระตือรือร้น ชอบเต้นรำ เล่นละคร หรือบทบาทสมมุติ
ยุทธศาสตร์ในการสอนคือการให้นักเรียนปฏิบัติจริง ลงมือทำจริง
ได้สัมผัส เคลื่อนไหว ใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนรู้
และการเรียนผ่านการแสดงบทบาทสมมุติ แสดงละคร
5. ปัญญาด้านดนตรี (Musical
Intelligence) ชอบร้องรำทำเพลง เล่นดนตรี แยกแยะเสียงต่าง ๆ ได้ดี รู้จักท่วงทำนอง
เรียนรู้จังหวะดนตรีได้ดี เล่นเครื่องดนตรีได้อย่างน้อย 1 ชิ้น ยุทธศาสตร์ในการสอนได้แก่ปฏิบัติการร้องเพลง
การเคาะจังหวะ การฟังเพลง การเล่นดนตรี การวิเคราะห์ดนตรี วิจารณ์ดนตรี
6. ปัญญาด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Interpersonal
Intelligence) ชอบมีเพื่อน ชอบพบปะผู้คนร่วมสังสรรค์กับผู้อื่น ชอบแสดงออกให้ผู้อื่นทำตาม ช่วยเหลือผู้อื่น ทำงานหรือประสานงานกับผู้อื่นได้ดี ชอบสังคม อยู่ร่วมกับผู้อื่นมากกว่าจะอยู่คนเดียวที่บ้านในวันหยุด ยุทธศาสตร์ในการสอนได้แก่การให้ทำงานร่วมกัน
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเพื่อน การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การจำลองสถานการณ์
บทบาทสมมุติ การเรียนรู้สู่ชุมชน
7. ปัญญาด้านความเข้าใจตนเอง (Intrapersonal
Intelligence) ชอบอยู่ตามลำพังคนเดียวเงียบ
ๆ คิดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง มีอิสระในความคิด
รู้ตัวว่าทำอะไร และพัฒนาความรู้สึกนึกคิดอยู่เสมอ ชอบทำอะไรด้วยตนเองมากกว่าที่จะคอยให้คนอื่นช่วยเหลือ ยุทธศาสตร์การสอนควรเน้นที่การเปิดโอกาสให้เลือกศึกษาในสิ่งที่สนใจเป็นพิเศษ
การวางแผนชีวิต การทำงานร่วมกับผู้อื่น การศึกษารายบุคคล (Individual
Study)
8. ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist
Intelligence)สนใจความเป็นไปในสังคมรอบตัว
ชอบศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ การดำรงชีวิต จิตวิทยาเข้าใจธรรมชาติของพืชและสัตว์ได้เป็นอย่างดี
วิธีการจัดการเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติงานด้านเกษตรกรรมเกี่ยวกับการปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ จัดกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมศึกษา
ค่ายสิ่งแวดล้อม
http://thesisavenue.blogspot.com/2008/09/theory-of-multiple-intelligences.html พหุปัญญา หมายถึง ความสามารถทางด้านต่างๆ ของมนุษย์ การเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นผู้แสวงหา
และค้นพบความรู้ด้วยตนเอง โดยใช้ความสามารถต่างๆ เป็นเครื่องมือในการค้นพบความรู้
ทาให้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริงมีพัฒนาการรอบด้าน
ทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ของการ์ดเนอร์ ซึ่งได้แบ่งเชาวน์ปัญญา หรือสติปัญญาของบุคคล ออกเป็น 8 ด้าน ดังนี้
อัจฉริยะภาพด้านภาษา (Linguistic
Intelligence) คือ ความสามารถในการใช้ภาษารูปแบบต่างๆ
ตั้งแต่ภาษาพื้นเมือง จนถึงภาษาอื่นๆ ด้วย สามารถรับรู้ เข้าใจภาษา
และสามารถสื่อภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ตามที่ต้องการ ผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น
ก็มักเป็น กวี นักเขียน นักพูด นักหนังสือพิมพ์ ครู ทนายความหรือนักการเมือง
อัจฉริยะภาพด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical
Intelligence) คือ ความสามารถในการคิดแบบมีเหตุและผล
การคิดเชิงนามธรรม การคิดคาดการณ์ และการคิดคานวณทางคณิตศาสตร์
ผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น ก็มักเป็น นักบัญชี นักสถิติ นักคณิตศาสตร์ นักวิจัย
นักวิทยาศาสตร์ นักเขียนโปรแกรม หรือวิศวกร
อัจฉริยะภาพด้านมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial
Intelligence) คือ ความสามารถในการรับรู้ทางสายตาได้ดี
สามารถมองเห็นพื้นที่ รูปทรง ระยะทาง และตาแหน่ง อย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน
แล้วถ่ายทอดแสดงออกอย่างกลมกลืน มีความไวต่อการรับรู้ในเรื่องทิศทาง
สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น จะมีทั้งสายวิทยาศาสตร์ และสายศิลปะศาสตร์
ทางด้านสายวิทยาศาสตร์ ก็มักเป็น นักประดิษฐ์ วิศวกร ส่วนสายศิลปะศาสตร์
ก็มักเป็นศิลปินในแขนงต่างๆ เช่น จิตรกร นักวาดรูป นักเขียนการ์ตูน นักปั้น
นักออกแบบ ช่างภาพ หรือสถาปนิก เป็นต้น
อัจฉริยะภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily
Kinesthetic Intelligence) คือ ความสามารถในการควบคุม
และแสดงออกซึ่งความคิด ความรู้สึก โดยใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย
รวมถึงความสามารถในการใช้มือประดิษฐ์ ความคล่องแคล่ว ความแข็งแรง ความรวดเร็ว
ความยืดหยุ่น ความประณีต และความไวทางประสาทสัมผัส
สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักกีฬา หรือไม่ก็ศิลปินในแขนง
นักแสดง นักฟ้อน นักเต้น นักบัลเล่ต์ หรือนักแสดงกายกรรม
อัจฉริยะภาพด้านดนตรี (Musical
Intelligence) คือความสามารถในการซึมซับ
และเข้าถึงสุนทรียะทางดนตรี ทั้งการได้ยิน การรับรู้ การจดจา และการแต่งเพลง
สามารถจดจาจังหวะ ทานอง และโครงสร้างทางดนตรีได้ดี และถ่ายทอดออกมาโดยการฮัมเพลง
เคาะจังหวะ เล่นดนตรี และร้องเพลง สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น
มักจะเป็นนักดนตรี นักประพันธ์เพลง หรือนักร้อง
อัจฉริยะภาพด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Interpersonal
Intelligence) คือ ความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น ทั้งด้านความรู้สึกนึกคิด อารมณ์
และเจตนาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน มีความไวในการสังเกต สีหน้า ท่าทาง น้าเสียง สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม
สร้างมิตรภาพได้ง่าย เจรจาต่อรอง ลดความขัดแย้ง สามารถจูงใจผู้อื่นได้ดี
เป็นปัญญาด้านที่จาเป็นต้องมีอยู่ในทุกคน แต่สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น
มักจะเป็นครูบาอาจารย์ ผู้ให้คาปรึกษา นักการฑูต เซลแมน พนักงานขายตรง พนักงานต้อนรับ
ประชาสัมพันธ์ นักการเมือง หรือนักธุรกิจ
อัจฉริยะภาพด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal
Intelligence) คือ ความสามารถในการรู้จัก ตระหนักรู้ในตนเอง
สามารถเท่าทันตนเอง ควบคุมการแสดงออกอย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ และสถานการณ์
รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเผชิญหน้า เมื่อไหร่ควรหลีกเลี่ยง เมื่อไหร่ต้องขอความช่วยเหลือ
มองภาพตนเองตามความเป็นจริง รู้ถึงจุดอ่อน หรือข้อบกพร่องของตนเอง
ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าตนมีจุดแข็ง หรือความสามารถในเรื่องใด
มีความรู้เท่าทันอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความคาดหวัง ความปรารถนา
และตัวตนของตนเองอย่างแท้จริง เป็นปัญญาด้านที่จาเป็นต้องมีอยู่ในทุกคนเช่นกัน
เพื่อให้สามารถดารงชีวิตอย่างมีคุณค่า และมีความสุข
สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักคิด นักปรัชญา หรือนักวิจัย
อัจฉริยะภาพด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist
Intelligence) คือ ความสามารถในการรู้จัก และเข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง
เข้าใจกฎเกณฑ์ ปรากฏการณ์ และการรังสรรค์ต่างๆ ของธรรมชาติ มีความไวในการสังเกต
เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปของธรรมชาติ มีความสามารถในการจัดจำแนก
แยกแยะประเภทของสิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์ สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น
มักจะเป็นนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย หรือนักสำรวจธรรมชาติ
สรุป ทฤษฎีการเรียนรู้แบบพหุปัญญา
เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความสามารถของผู้เรียนที่มีอยู่แตกต่างกันทั้ง 8 ด้านให้มีความโดดเด่นออกมาในด้านนั้น ๆ อันได้แก่ ความสามารถทางด้านภาษา
ความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ เชาวน์ปัญญาด้านดนตรี เชาวน์ปัญญาด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อ
เชาวน์ปัญญาด้านการสัมพันธ์กับผู้อื่น เชาว์ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง
และเชาวน์ปัญญาด้านความเข้าใจธรรมชาติ
ซึ่งความสามารถในแต่ละด้านนี้หากได้รับการส่งเสริมที่ถูกต้องก็จะสามารถพัฒนาให้สูงขึ้นได้เรื่อย
ๆ
อ้างอิง
ทิศนา แขมมณี. ศาสตร์การสอน. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2545
http://www.krujongrak.com/mi/mi_selftest1.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น